ก่อนอื่น...เราต้องแยกให้ออกระหว่างสารประกอบอนินทรีย์และสารประกอบอินทรีย์ สารประกอบอินทรีย์ประกอบด้วยคาร์บอน ปกติมักรวมกับธาตุต่างๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และซัลเฟอร์ ส่วนสารประกอบชนิดอื่นๆ จะถูกจัดเป็นสารประกอบอนินทรีย์ แต่ก็ยังมีสารประกอบที่มีคาร์บอนบางชนิดที่ถูกจัดเป็นสารประกอบอินทรีย์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คาร์บอนไดซัลไฟด์ (CS2) สารประกอบในกลุ่มของไซยาไนด์ (CN-) คาร์บอเนต (CO3 2-) และไบคาร์บอเนต (HCO3-)
สารประกอบอินทรีย์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.สารประกอบไอออนิก
2.สารประกอบโมเลกุล
3.กรดและเบส
4.ไฮเดรท
1.สารประกอบไอออนิก
ประกอบขึ้นด้วยไอออนบวกและไอออนลบ ยกเว้น แอมโมเนียมไอออน (NH4+) ไอออนบวกทุกชนิดส่วนใหญ่มาจากอะตอมของโลหะ ซึ่งจะเรียกชื่อตามธาตุของโลหะนั้นๆ เช่น
Na+ โซเดียมไอออน
K- โพแทสเซียมไอออน
Mg2+ แมกนีเซียมไอออน
สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบเชิงคู่ หรือเกิดจากธาตุสองธาตุ เรียกชื่อ ธาตุแรก เป็นโลหะไอออนบวก แล้วตามด้วยชื่อของโลหะไอออนลบ เช่น NaCl เรียกว่า โซเดียมคลอไรด์ ส่วนของไอออนลบให้ชื่อตามส่วนแรกของชื่อธาตุ (Cl) คลอรีน แล้วเติม "-ไอด์" ต่อท้ายชื่อ ดังนี้
KBr อ่านว่า โพแทสเซียมโบรไมด์
ZnI2 อ่านว่า ซิงค์ไอโอไดด์
Al2O3 อ่านว่า อลูมิเนียมออกไซด์
โลหะทรานซิชันสามารถเกิดเป็นไอออนบวกได้มากกว่าหนึ่งชนิด เช่น เหล็ก เกิดได้สองไอออนบวกคือ Fe2+ และ Fe3+ จะเรียกชื่อโดยใช้คำลงท้ายว่า "-อัส" สำหรับไอออนที่มีประจุบวกน้อยกว่า และลงท้ายด้วย "-อิก" สำหรับไอออนบวกที่มีประจุบวกมากกว่า ดังนี้
Fe2+ เฟอร์รัส ไอออน
Fe3+ เฟอร์ริก ไอออน
ชื่อของสารประกอบไอออนของเหล็กที่เิกิดกับคลอรีนจะเรียกได้ว่า
FeCl2 เฟอร์รัส คลอไรด์
FeCl3 เฟอร์ริก คลอไรด์
ซึ่งวิธีการเรียกแบบนี้มีข้อจำกัด เพราะโลหะบางชนิดสามารถมีประจุบวกได้มากกว่าสองประจุ ดังนั้นจึงมีการเรียกชื่อด้วยตัวเลขโรมัน ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า ระบบสต๊อก เช่น
Mn2+ : MnO แมงกานีส (II) ออกไซด์
Mn3+ : Mn2O3 แมงกานีส (III) ออกไซด์
Mn4+ : MnO2 แมงกานีส (IV) ออกไซด์
--- ส่วนอีก 3 ประเภทที่เหลือ เราจะมาต่อกัน ในครั้งต่อไปนะคะ ...
ที่มา: Chemistry 9/e By Raymond Chang # 1
all Chemi
..+ All About Chemistry For Your Life +..
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
ทำความรู้จักกับ "กัมมันตภาพรังสี" กันดีกว่าค่ะ
ณ เวลานี้ ข่าวคราวที่คนทั้งโลกหันมาให้ความสนใจ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ "อันตรายจากกัมมันตภาพรังสี" อันมีสาเหตุมาจากการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมืองฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ และส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในจังหวัดทางตอนเหนือของญี่ปุ่นนั้น ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายได้ออกมาพูดถึงอันตรายและวิธีการรับมือกับเจ้าสารกัมมันตภาพรังสีที่อาจมีการรั่วไหลออกมากันอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ในฐานะที่เราก็เป็นนักเคมีตัวจิ๋วคนนึง ... เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้เข้า ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาทบทวนความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กันซะหน่อย เริ่มเลยละกันนะคร้า...
กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็นปรากฎการณ์อย่างหนึ่งของสารที่มีสมบัติในการแผ่รังสีออกมาได้เอง กัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมามีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ รังสีแอลฟา รังสีเบตา และรังสีแกมมา
ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive Elements) หมายถึง ธาตุพลังงานสูงกลุ่มหนึ่งที่สามารถแผ่รังสี แล้วกลายเป็นอะตอมของธาตุใหม่ได้
ประวัติการค้นพบ
ในปี พ.ศ.2439 อองตวน อองรี เบ็กเคอเรล (Antonine Henri Becquerel) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้พบว่าแผ่นฟิล์มถ่ายรูปที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษดำ และเก็บรวมไว้กับสารประกอบยูเรเนียมจะมีลักษณะเหมือนถูกแสงสว่าง เขาจึงได้ทดลองเก็บแผ่นฟิล์มไว้กับสารประกอบของยูเรเนียมชนิดอื่นๆ ดูบ้าง ซึ่งก็พบว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเบ็กเคอเรสจึงได้สรุปว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธาตุยูเรเนียมมีสมบัติในการแผ่รังสีออกมาได้
หลังจากนั้น ปีแอร์ คูรี และ มารี คูรี (Pierre Curie and Marie Curie) นักวิทยาศาสตร์คู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบเพิ่มเติมว่า ธาตุยูเรเนียมไม่ได้เป็นธาตุเพียงชนิดเดียวที่สามารถแผ่รังสีออกมาได้ แต่ยังมีธาตุชนิดอื่นๆ ที่สามารถแผ่รังสีออกมาได้เช่นเดียวกัน เช่น ธาตุพอลโลเนียม (Po), เรเดียม (Ra), และทอเรียม (Th) เป็นต้น ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้เรียกรังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุต่างๆ ว่า กัมมันตภาพรังสี และเรียกธาตุต่างๆ ที่มีสมบัติในการแผ่รังสีว่า ธาตุกัมมันตรังสี
การแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสีเหล่านี้เกิดขึ้นในไอโซโทปของธาตุที่มีจำนวน นิวตรอนมากกว่าจำนวนโปรตอนมาก ทำให้นิวเคลียสของธาตุไม่เสถียรจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธาตุที่มีความ เสถียรมากขึ้น โดยการสลายตัวเองเพื่อปล่อยอนุภาคภายในนิวเคลียสออกมาในรูปของการแผ่รังสี การแผ่รังสีของธาตุเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยพบว่าธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในธรรมชาติที่มีเลขอะตอมสูงกว่า 83 ส่วนใหญ่จะสามารถแผ่รังสีได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ธาตุเรเดียม, ยูเรเนียม, ทอเรียม เป็นต้น
การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีจะเกิดขึ้นได้โดยอะตอมของธาตุมีการปลดปล่อยองค์ประกอบและพลังงานที่อยู่ภายในอะตอมออกมา ทำให้โครงสร้างของอะตอมเปลี่ยนแปลงไป โดยองค์ประกอบและพลังงานของธาตุที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นจะแผ่ออกมาจากธาตุในรูปของรังสีต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา, รังสีบีตา และรังสีแกมมา ซึ่งรังสีต่างๆ จะมีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.รังสีแอลฟา (Alpha) เป็นอนุภาคที่มีสมบัติเหมือนนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม คือเป็นอนุภาคซึ่งมีโปรตอนและนิวตรอนอย่างละ 2 อนุภาค แต่ไม่มีอิเล็กตรอน จึงมีประจุบวก 2 สามารถเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วลบ เป็นรังสีที่มีอำนาจการทะลุทะลวงต่ำ
2. รังสีเบตา (Beta) เป็นอนุภาคที่มีประจุลบ มีคุณสมบัติเหมือนอิเล็กตรอน จึงสามารถเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วบวก รังสีบีตามีอำนาจการทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีแอลฟาประมาณ 100 เท่า มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงกว่ารังสีแอลฟา และสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่ารังสีแอลฟา
3. รังสีแกมมา (Gamma) มีคุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) ที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ไม่มีประจุและไม่มีมวล จึงไม่มีการเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า มีอำนาจการทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีบีตามาก เกิดจากการที่ธาตุแผ่รังสีแอลฟาและแกมมาออกมา แต่นิวเคลียสของธาตุยังไม่เสถียร ยังมีระดับพลังงานที่สูงอยู่ จึงต้องปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อลดระดับพลังงาน โดยรังสีแกมมาจะมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงมากจนมีค่าใกล้เคียงกับความเร็วแสง
ในปี พ.ศ.2439 อองตวน อองรี เบ็กเคอเรล (Antonine Henri Becquerel) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้พบว่าแผ่นฟิล์มถ่ายรูปที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษดำ และเก็บรวมไว้กับสารประกอบยูเรเนียมจะมีลักษณะเหมือนถูกแสงสว่าง เขาจึงได้ทดลองเก็บแผ่นฟิล์มไว้กับสารประกอบของยูเรเนียมชนิดอื่นๆ ดูบ้าง ซึ่งก็พบว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นเบ็กเคอเรสจึงได้สรุปว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธาตุยูเรเนียมมีสมบัติในการแผ่รังสีออกมาได้
หลังจากนั้น ปีแอร์ คูรี และ มารี คูรี (Pierre Curie and Marie Curie) นักวิทยาศาสตร์คู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบเพิ่มเติมว่า ธาตุยูเรเนียมไม่ได้เป็นธาตุเพียงชนิดเดียวที่สามารถแผ่รังสีออกมาได้ แต่ยังมีธาตุชนิดอื่นๆ ที่สามารถแผ่รังสีออกมาได้เช่นเดียวกัน เช่น ธาตุพอลโลเนียม (Po), เรเดียม (Ra), และทอเรียม (Th) เป็นต้น ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้เรียกรังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุต่างๆ ว่า กัมมันตภาพรังสี และเรียกธาตุต่างๆ ที่มีสมบัติในการแผ่รังสีว่า ธาตุกัมมันตรังสี
การแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสีเหล่านี้เกิดขึ้นในไอโซโทปของธาตุที่มีจำนวน นิวตรอนมากกว่าจำนวนโปรตอนมาก ทำให้นิวเคลียสของธาตุไม่เสถียรจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธาตุที่มีความ เสถียรมากขึ้น โดยการสลายตัวเองเพื่อปล่อยอนุภาคภายในนิวเคลียสออกมาในรูปของการแผ่รังสี การแผ่รังสีของธาตุเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยพบว่าธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในธรรมชาติที่มีเลขอะตอมสูงกว่า 83 ส่วนใหญ่จะสามารถแผ่รังสีได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ธาตุเรเดียม, ยูเรเนียม, ทอเรียม เป็นต้น
การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีจะเกิดขึ้นได้โดยอะตอมของธาตุมีการปลดปล่อยองค์ประกอบและพลังงานที่อยู่ภายในอะตอมออกมา ทำให้โครงสร้างของอะตอมเปลี่ยนแปลงไป โดยองค์ประกอบและพลังงานของธาตุที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นจะแผ่ออกมาจากธาตุในรูปของรังสีต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา, รังสีบีตา และรังสีแกมมา ซึ่งรังสีต่างๆ จะมีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.รังสีแอลฟา (Alpha) เป็นอนุภาคที่มีสมบัติเหมือนนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม คือเป็นอนุภาคซึ่งมีโปรตอนและนิวตรอนอย่างละ 2 อนุภาค แต่ไม่มีอิเล็กตรอน จึงมีประจุบวก 2 สามารถเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วลบ เป็นรังสีที่มีอำนาจการทะลุทะลวงต่ำ
2. รังสีเบตา (Beta) เป็นอนุภาคที่มีประจุลบ มีคุณสมบัติเหมือนอิเล็กตรอน จึงสามารถเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าเข้าหาขั้วบวก รังสีบีตามีอำนาจการทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีแอลฟาประมาณ 100 เท่า มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงกว่ารังสีแอลฟา และสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่ารังสีแอลฟา
3. รังสีแกมมา (Gamma) มีคุณสมบัติเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) ที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ไม่มีประจุและไม่มีมวล จึงไม่มีการเบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า มีอำนาจการทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีบีตามาก เกิดจากการที่ธาตุแผ่รังสีแอลฟาและแกมมาออกมา แต่นิวเคลียสของธาตุยังไม่เสถียร ยังมีระดับพลังงานที่สูงอยู่ จึงต้องปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อลดระดับพลังงาน โดยรังสีแกมมาจะมีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงมากจนมีค่าใกล้เคียงกับความเร็วแสง
ครึ่งชีวิตของธาตุ (Half life)
เรารู้แล้วว่ารังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดจากนิวเคลียสในอะตอม ของธาตุซึ่งไม่เสถียร จึงต้องมีการสลายตัวและแผ่รังสีออกมา เพื่อเปลี่ยนไปเป็นอะตอมที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อธาตุกัมมันตรังสีแผ่รังสีออกมาแล้วจะเกิดการสลายตัวลดปริมาณลงไปด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกระยะเวลาที่ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวไปจนเหลือครึ่ง หนึ่งของปริมาณเดิมว่า ครึ่งชีวิต (Half life) ตัวอย่างเช่น ธาตุซัลเฟอร์ -35 มีครึ่งชีวิต 87 วัน ในการสลายตัวเหลือ 4 กรัม และใช้เวลาอีก 87 วัน ในการสลายตัวจนเหลือ 2 กรัม เป็นต้น
เรารู้แล้วว่ารังสีที่แผ่ออกมาจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดจากนิวเคลียสในอะตอม ของธาตุซึ่งไม่เสถียร จึงต้องมีการสลายตัวและแผ่รังสีออกมา เพื่อเปลี่ยนไปเป็นอะตอมที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อธาตุกัมมันตรังสีแผ่รังสีออกมาแล้วจะเกิดการสลายตัวลดปริมาณลงไปด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกระยะเวลาที่ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวไปจนเหลือครึ่ง หนึ่งของปริมาณเดิมว่า ครึ่งชีวิต (Half life) ตัวอย่างเช่น ธาตุซัลเฟอร์ -35 มีครึ่งชีวิต 87 วัน ในการสลายตัวเหลือ 4 กรัม และใช้เวลาอีก 87 วัน ในการสลายตัวจนเหลือ 2 กรัม เป็นต้น
ประโยชน์ของธาตุกัมมันตรังสี
ความสามารถในการปลดปล่อยพลังงาน และรังสีที่มีพลังงานและมีอำนาจทะลุทะลวงของธาตุกัมมันตรังสีได้ถูกนำไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทั้งในด้านการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม รวมจนถึงด้านธรณีวิทยาการหาอายุของวัตถุต่างๆ โดยธาตุกัมมันตรังสีที่มีการใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง ได้แก่
ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและยานอวกาศ และใช้ในการผลิตรังสีเอ็กซ์ (X-ray) ซึ่งมีพลังงานสูง
โคบอลต์-60 (Co-60) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถแผ่กัมมันตรังสีชนิดแกมมาซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ จึงมีการนำมาใช้ในการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารผักและผลไม้ และนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถพบได้ในวัตถุต่างๆ เกือบทุกชนิดบนโลก จึงสามารถนำระยะเวลาครึ่งชีวิตของธาตุนี้มาใช้ในการคำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ อายุของหินและเปลือกโลกและอายุของซากฟอสซิลต่างๆ ได้ (C-14 มีครึ่งชีวิตประมาณ 5,730 ปี)
ฟอสฟอรัส-32 (P-32) เป็นสารประกอบกัมมันตรังสีที่สามารถละลายน้ำได้ มีระยะเวลาครึ่งชีวิตประมาณ 14.3 วัน ทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดโลหิตขาว (ลิวคีเมีย) โดยให้รับประทานหรือฉีดเข้าในกระแสโลหิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจหาเซลล์มะเร็ง และตรวจหาปริมาณโลหิตของผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด
ความสามารถในการปลดปล่อยพลังงาน และรังสีที่มีพลังงานและมีอำนาจทะลุทะลวงของธาตุกัมมันตรังสีได้ถูกนำไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทั้งในด้านการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม รวมจนถึงด้านธรณีวิทยาการหาอายุของวัตถุต่างๆ โดยธาตุกัมมันตรังสีที่มีการใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง ได้แก่
ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและยานอวกาศ และใช้ในการผลิตรังสีเอ็กซ์ (X-ray) ซึ่งมีพลังงานสูง
โคบอลต์-60 (Co-60) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถแผ่กัมมันตรังสีชนิดแกมมาซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ จึงมีการนำมาใช้ในการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารผักและผลไม้ และนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรังสีที่สามารถพบได้ในวัตถุต่างๆ เกือบทุกชนิดบนโลก จึงสามารถนำระยะเวลาครึ่งชีวิตของธาตุนี้มาใช้ในการคำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ อายุของหินและเปลือกโลกและอายุของซากฟอสซิลต่างๆ ได้ (C-14 มีครึ่งชีวิตประมาณ 5,730 ปี)
ฟอสฟอรัส-32 (P-32) เป็นสารประกอบกัมมันตรังสีที่สามารถละลายน้ำได้ มีระยะเวลาครึ่งชีวิตประมาณ 14.3 วัน ทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดโลหิตขาว (ลิวคีเมีย) โดยให้รับประทานหรือฉีดเข้าในกระแสโลหิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจหาเซลล์มะเร็ง และตรวจหาปริมาณโลหิตของผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด
อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสี
อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดขึ้นได้ หากร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้รับกัมมันตรังสีในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้โมเลกุลของน้ำ สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ต่างๆ ในร่างกายเสียสมดุล ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดความเจ็บป่วย หรือหากได้รับในปริมาณมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสีจึงจะต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วย ป้องกันอันตรายจากรังสี และมีการกำหนดระยะเวลาในการทำงานเพื่อไม่ให้สัมผัสกับรังสีเป็นเวลานานเกินไป
อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสีเกิดขึ้นได้ หากร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้รับกัมมันตรังสีในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้โมเลกุลของน้ำ สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ต่างๆ ในร่างกายเสียสมดุล ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดความเจ็บป่วย หรือหากได้รับในปริมาณมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสีจึงจะต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วย ป้องกันอันตรายจากรังสี และมีการกำหนดระยะเวลาในการทำงานเพื่อไม่ให้สัมผัสกับรังสีเป็นเวลานานเกินไป
ปริมาณรังสีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์
2.2 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับรังสีปกติในธรรมชาติ ที่มนุษย์แต่ละคนได้รับใน 1 ปี
5.0 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์รังสีสูงสุดที่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปรับได้ใน 1 ปี
50 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์สูงสุดที่อนุญาติให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสี
รับได้ใน 1 ปี
250 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับที่ไม่ทำให้ร่างกายปรากฏอาการผิดปกติ ทั้งในระยะสั้น
และในระยะยาว
500 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลงเล็กน้อย
1,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการคลื่นเหียน อ่อนเพลีย และมีปริมาณเม็ดเลือด
ขาวลดลง
3,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย เม็ดเลือดขาว
ลดลง ผมร่วง เบื่ออาหาร ตัวซีด คอแห้ง มีไข้ และอาจเสียชีวิต
ได้ภายใน 3-6 สัปดาห์
6,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน
1-2 ชั่วโมง เม็ดเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบ
บริเวณปากและลำคออย่างรุ่นแรง และมีโอกาสเสียชีวิตได้
ถึง 50% ภายใน 2-6 สัปดาห์
10,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน
1-2 ชั่วโมง เม็ดเลือด ลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบ
บริเวณปากและลำคออย่างรุ่นแรง ผิวหนังพอง บวม ผมร่วง และ
เสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์
2.2 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับรังสีปกติในธรรมชาติ ที่มนุษย์แต่ละคนได้รับใน 1 ปี
5.0 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์รังสีสูงสุดที่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปรับได้ใน 1 ปี
50 มิลลิซีเวิร์ด เป็นเกณฑ์สูงสุดที่อนุญาติให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับรังสี
รับได้ใน 1 ปี
250 มิลลิซีเวิร์ด เป็นระดับที่ไม่ทำให้ร่างกายปรากฏอาการผิดปกติ ทั้งในระยะสั้น
และในระยะยาว
500 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลงเล็กน้อย
1,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการคลื่นเหียน อ่อนเพลีย และมีปริมาณเม็ดเลือด
ขาวลดลง
3,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย เม็ดเลือดขาว
ลดลง ผมร่วง เบื่ออาหาร ตัวซีด คอแห้ง มีไข้ และอาจเสียชีวิต
ได้ภายใน 3-6 สัปดาห์
6,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน
1-2 ชั่วโมง เม็ดเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบ
บริเวณปากและลำคออย่างรุ่นแรง และมีโอกาสเสียชีวิตได้
ถึง 50% ภายใน 2-6 สัปดาห์
10,000 มิลลิซีเวิร์ด ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน
1-2 ชั่วโมง เม็ดเลือด ลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วง มีไข้ อักเสบ
บริเวณปากและลำคออย่างรุ่นแรง ผิวหนังพอง บวม ผมร่วง และ
เสียชีวิตภายใน 2-3 สัปดาห์
ที่มา: http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=3029 ขอขอบคุณนะคร้า...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)